เพราะไข้หวัดใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล็ก และการฉีดวัคซีนทุกปีคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด
ในแต่ละปี ไวรัสไข้หวัดใหญ่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว การป้องกันโรคด้วยวัคซีนไข้หวัดใหญ่จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด และในปัจจุบันยังมี FluMist Intranasal Vaccine ซึ่งเป็นวัคซีนทางเลือกใหม่ที่ไม่ต้องใช้เข็มฉีดยา ทำให้การรับวัคซีนสะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเด็กและผู้ที่กลัวเข็ม
วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบพ่นจมูก เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (Live Attenuated Influenza Vaccine, LAIV) ที่ให้ผ่านการพ่นละอองเข้าสู่โพรงจมูกแทนการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ วัคซีนชนิดนี้ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ในร่างกาย ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ทั้งในระบบและบริเวณเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเป็นจุดแรกที่เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย
ถือเป็นอีกทางเลือกในการสร้างภูมิคุ้มกันที่แตกต่างจากวัคซีนชนิดฉีด ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มความสะดวก และตอบโจทย์ผู้รับวัคซีนหลายกลุ่ม โดยข้อดีที่สำคัญได้แก่
- ลดความกังวลเรื่องเข็ม เนื่องจากไม่ใช้เข็ม ทำให้ผู้ที่กลัวเข็มรวมถึงเด็กเล็กรับวัคซีนได้ง่ายขึ้น
- ขั้นตอนสั้น สะดวก การให้วัคซีนทำได้โดยการพ่นเข้าสู่โพรงจมูก ไม่ยุ่งยาก และใช้เวลาไม่นาน
- เสริมเกราะป้องกันได้ตรงจุด วัคซีนชนิดนี้สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งเป็นบริเวณที่ไวรัสเข้าสู่ร่างกายเป็นอันดับแรก
- ประสิทธิภาพสูงในเด็กและวัยรุ่น ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้อย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มอายุ 2-17 ปี
วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบพ่นจมูกเหมาะกับใครบ้าง
วัคซีนแบบพ่นจมูกกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบาย และไม่อยากเจ็บจากการฉีด โดยกลุ่มที่มักแนะนำ ได้แก่
- เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป ที่กังวลหรือกลัวการฉีดยา
- วัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่อายุไม่เกิน 49 ปี มีสุขภาพแข็งแรง
- ผู้ปกครองที่มองหาทางเลือกแทนการฉีดโดยเข็ม สำหรับบุตรหลาน
ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีนทุกครั้ง เพื่อประเมินความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
การใช้วัคซีนพ่นจมูกต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่นั้น จะมีบางกลุ่มที่ควรระมัดระวัง หรืออาจไม่เหมาะสมในการใช้วัคซีนชนิดนี้ ได้แก่
- เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และผู้ใหญ่อายุมากกว่า 49 ปี
- หญิงตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด
- เด็กหรือวัยรุ่นที่กำลังใช้ยาแอสไพริน
- ผู้ที่เคยมีอาการแพ้รุนแรงต่อส่วนประกอบของวัคซีน
ผลข้างเคียงที่อาจพบ
โดยทั่วไปวัคซีน ปลอดภัยและอาการข้างเคียงมักเป็นเพียงเล็กน้อยส่วนใหญ่ได้แก่
- คัดจมูก น้ำมูกไหล
- เจ็บคอ
- ไข้ต่ำ ๆ หรือปวดเมื่อยเล็กน้อย
- หากมีอาการแพ้รุนแรง เช่น หายใจลำบาก หน้าบวม ควรรีบพบแพทย์ทันที
เหตุผลสำคัญที่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี
1. ไวรัสไข้หวัดใหญ่กลายพันธุ์ตลอดเวลา ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีหลายสายพันธุ์ และสามารถกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วในแต่ละปี ทำให้ภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากวัคซีนในปีที่แล้ว อาจไม่สามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ในปีนี้ได้ วัคซีนจึงมีการปรับสูตรใหม่ทุกปีให้ตรงกับสายพันธุ์ที่มีแนวโน้มระบาด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกัน
2. ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนลดลงตามเวลา แม้ว่าจะเคยฉีดวัคซีนแล้ว ภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดลงภายใน 6 – 12 เดือน การฉีดวัคซีนซ้ำทุกปีจึงช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่เพียงพอ พร้อมรับมือกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ในช่วงฤดูระบาด
3. ลดความรุนแรงของโรค ในกรณีที่ยังติดเชื้อหลังฉีดวัคซีน วัคซีนยังช่วยลดความรุนแรงของอาการได้ เช่น อาการไข้สูง ปวดเมื่อย หรืออาการแทรกซ้อนอื่น ๆ อย่างปอดบวม หูชั้นกลางอักเสบ หรือหัวใจล้มเหลว ซึ่งอาจเกิดขึ้นในกลุ่มเสี่ยง
4. ปกป้องคนรอบข้างที่มีความเสี่ยงสูง การฉีดวัคซีนไม่เพียงแต่ปกป้องตัวเอง แต่ยังลดโอกาสในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่อาจไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ เช่น ทารก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ที่ช่วยลดการระบาดของโรคในชุมชน












