ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV 2 เข็ม (สำหรับเด็ก 12 - 24 เดือน)
RSV (Respiratory Syncytial Virus) หรือไวรัสระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคปอดอักเสบ และหลอดลมฝอยอักเสบในทารกและเด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ความเสี่ยงในการติดเชื้อที่ปอดรุนแรงจากเชื้อไวรัส RSV ได้แก่ ทารกเกิดก่อนกำหนดที่มีโรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคปอดซิสติกไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis) เด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง ล่าสุดวงการแพทย์มีทางเลือกใหม่ในการป้องกัน RSV ด้วยยาเนอร์ซีวิแมบ (Nirsevimab) ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปที่สามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถฉีดป้องกันได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึง 2 ปี
อายุเท่าไหร่? ถึงสามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab)
แนะนำให้รับวัคซีนก่อนเข้าสู่ฤดูระบาดในประเทศไทย ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงตุลาคม โดยมีแนวทางการฉีดวัคซีนดังนี้
- เด็กแรกเกิดถึงอายุ 12 เดือน: ฉีดวัคซีน 1 เข็ม (ฉีดเพียงครั้งเดียว)
- เด็กอายุ 12 ถึง 24 เดือน: ฉีดวัคซีน 2 เข็ม (ในครั้งเดียวกัน โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 2 ตำแหน่ง)
ประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ในเด็ก
- ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อไวรัส RSV ได้สูงถึง 79.5%
- ลดความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างที่เกิดจาก RSV ได้ถึง 83.2%
- ลดความรุนแรงของโรคที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจในหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) ได้มากถึง 75.3%
- ให้การป้องกันยาวนานถึง 5 เดือน ครอบคลุมช่วงเวลาการระบาดของไวรัส RSV อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของการรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab)
- ป้องกันการติดเชื้อ RSV ด้วย Nirsevimab ให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปที่ออกฤทธิ์ทันที ช่วยป้องกันไวรัส RSV ได้ตั้งแต่ช่วงแรกที่เสี่ยง โดยไม่ต้องรอให้ร่างกายสร้างภูมิเองเหมือนวัคซีน
- ลดความรุนแรงของโรค แม้ติดเชื้อ RSV หลังได้รับยา อาการก็มักเบากว่าปกติ ช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หลอดลมฝอยอักเสบหรือปอดบวม
- ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล การศึกษาพบว่า Nirsevimab สามารถลดความเสี่ยงของการนอนโรงพยาบาลจาก RSV ได้ถึง 70–80%
- ป้องกันได้ยาวนานตลอดฤดูกาล ใช้เพียงเข็มเดียวต่อฤดูกาล RSV ก็ให้ผลคุ้มครองนานหลายเดือน ครอบคลุมตลอดช่วงระบาด (มักเริ่มต้นช่วงฤดูฝน – ฤดูหนาว)
- ปลอดภัย ใช้ได้กับเด็กทั่วไป และเด็กกลุ่มเสี่ยง เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดถึง 12 เดือน ทั้งในเด็กปกติ และกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กคลอดก่อนกำหนด หรือมีโรคหัวใจและปอด
- ลดค่าใช้จ่ายจากการนอนโรงพยาบาล และลดภาระการดูแลผู้ป่วยหนัก ช่วยให้ครอบครัวมีความมั่นใจมากขึ้นในการดูแลลูกน้อย